พ.ศ. 2504 คณะครูจังหวัดแพร่ ที่มองเห็นประโยชน์ของการรวมกลุ่มครูเป็นสหกรณ์ฯ เพื่อดำเนินงานสหกรณ์ให้เป็นไปตามหลักการ อุดมการณ์ และวัตถุประสงค์ ได้จัดให้มีการประชุมครั้งแรกเพื่อจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ครูแพร่ขึ้นที่โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่ ได้ตั้งชื่อว่า “สหกรณ์ออมทรัพย์ครูแพร่ จำกัดสินใช้” เป็นประเภทออมทรัพย์และเครดิตได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2497 เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2504
โดยมีสหกรณ์จังหวัดแพร่ เป็นที่ปรึกษา และได้ขอเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดตั้งสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) คือ นายพิพัฒน์ มาตรนฤมิตร มาวางรูปแบบบริหารจัดการต่าง ๆ ตั้งแต่การประชุมสมาชิก การขอจัดตั้ง การจดทะเบียน การเรียกเก็บเงินสะสม มูลค่าหุ้นละ10 บาท ทำบัญชีต่างๆ บันทึกรายงานการประชุม แบ่งหน่วยต่าง ๆ วางระเบียบ แบบแผน กำหนดระเบียบข้อบังคับให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย พระราชบัญญัติ มีสมาชิกก่อตั้งจำนวน 766 คน ทุนดำเนินการ 13,630.- บาท โดยใช้ห้องทำงานแผนกศึกษาธิการจังหวัดแพร่ ศาลากลางจังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นอาคารไม้สัก เป็นสำนักงานสหกรณ์ชั่วคราว มีคณะกรรมการดำเนินการซึ่งประกอบด้วย
นายพัฒน์ ภู่งาม ศึกษาธิการจังหวัดแพร่ เป็นประธานกรรมการดำเนินการ นายสม ทองเย็น ผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดแพร่ เป็นรองประธานกรรมการ ทั้งสองท่านเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยกันผลักดันในระยะเริ่มแรก มี นายมานัส นันทวิเชียร ข้าราชการครูสังกัดประถมศึกษาเป็นเลขานุการทำหน้าที่ผู้จัดการ และ นางมาลัย คุณาคำ ข้าราชการครูสังกัดประถมศึกษาเป็นเจ้าหน้าที่สหกรณ์ มีนายเสน ผูกพันธุ์ หัวหน้าศึกษานิเทศก์ เป็นสมาชิกสหกรณ์หมายเลข 1
ต่อมาใน พ.ศ. 2508 ต้นสังกัดได้ขอให้ส่งครูช่วยปฏิบัติงานสหกรณ์และคุรุสภา กลับไปทำการสอนภายในสิ้นปีงบประมาณ จึงได้เปิดรับสมัครเจ้าหน้าที่สหกรณ์ พ.ศ. 2506 – 2508 มีนายเสนาะ จันทร์สุริยา เป็นประธาน
พ.ศ. 2510 นายเกียรติ สุขทวี ศึกษาธิการจังหวัดแพร่ ประธาน ได้แต่งตั้งนางมาลัย คุณาคำ เป็นผู้จัดการและทำหน้าที่เลขานุการ
วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2512 สหกรณ์ได้จดทะเบียนใหม่อีกครั้งตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูแพร่ จำกัด” และกิจการของสหกรณ์ได้เจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ
พ.ศ.2517 นายสมบูรณ์ เพ็ญสุภา ประธานกรรมการ ขออนุมัติที่ประชุมใหญ่จัดซื้อที่ดินของนายเสริม กันกา เพื่อสร้างสำนักงานเป็นของตนเองแห่งแรก พ.ศ. 2520 ได้สร้างเป็นอาคาร 2 ชั้น เนื้อที่ 165 ตารางวา ตั้งอยู่เลขที่ 13 ถนนไชยบูรณ์ ซอย 2 ต.ในเวียง อ.เมือง จ.แพร่ เปิดทำการเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2520 เนื่องจากสมาชิกเพิ่มมากขึ้น อาคารเดิมคับแคบ ใน พ.ศ. 2539 ได้ทุบอาคาร 2 ชั้นเดิมทิ้ง และสร้างใหม่เป็นอาคาร 4 ชั้น
ปี พ.ศ. 2519 สหกรณ์ ได้รับอนุมัติให้จัดซื้อที่ดินไว้สร้างสำนักงานเป็นของตนเอง และจัดสร้างสำนักงานเป็นแบบอาคารสองชั้น ตั้งอยู่เลขที่ 13 ถนนไชยบูรณ์ซอย 2 ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ และได้เปิดทำการครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2520
และในปี พ.ศ .2519 มีผู้จัดการสหกรณ์คนแรก คือ นางพวงจันทร์ อุตมา สหกรณ์ออมทรัพย์ครูแพร่ ได้เจริญก้าวหน้าเป็นลำดับ มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น มีทุนดำเนินงานมากขึ้น ที่ประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1/2539 วันที่ 10 สิงหาคม 2539 เห็นชอบให้ซื้ออาคารพาณิชย์ 2 ครั้งครึ่ง จำนวน 6 คูหา ตั้งอยู่เลขที่ 2/162-167 ถนนยันตรกิจโกศล (ถนนภูเก็ต) ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ระหว่างที่รอการก่อสร้างอาคารสำนักงานชั่วคราวอยู่ที่ เลขที่ 209/1-2 ได้ย้ายสำนักงานไปเช่าตึกแถวหน้าวัดจอมสวรรค์ จนถึงวันพุธที่ 25 มิถุนายน 2540 จึงได้ย้ายมาอยู่อาคารใหม่ที่เป็นที่ตั้งสำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูแพร่ จำกัด
ในปี พ.ศ. 2549 คณะกรรมการดำเนินการสอ.ครูแพร่ ชุดที่ 46 ซึ่งมีนายมานพ ดีมี เป็นประธานกรรมการ ได้เสนอโครงการสร้างอาคารสำนักงานหลังใหม่ เนื่องจากมีสมาชิกมากขึ้น ที่ทำงานคับแคบ และไม่สะดวกในการติดต่อ สถานที่จอดรถไม่มี และอาจจะเป็นอันตรายกับสมาชิกที่มาติดต่องาน เนื่องจากอาคารอยู่ติดกับถนนที่เป็นทางโค้ง ที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี ได้อนุมัติให้จัดสร้างอาคารสำนักงานใหม่ โดยจัดซื้อที่ดิน 5 ไร่ บนถนนภูเก็ต อ.เมือง จ.แพร่ ระหว่างคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูแพร่ จำกัด ชุดที่ 47 และชุดที่ 48 ซึ่งมี นายสุทัศน์ กองป่า เป็นประธานกรรมการ ด้วยงบประมาณ 13 ล้านบาทเศษ สัญญาก่อสร้าง 1 ปีกว่า อาคารประกอบไปด้วยอาคาร 2 หลัง
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฏาคม พ.ศ. 2552 คณะเจ้าหน้าที่สหกรณออมทรัพย์ครูแพร่ จำกัด ได้ย้ายเข้าไปทำงานที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูแพร่ หลังใหม่ เลขที่ 313 หมู่ที่ 7 ตำบล นาจักร อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ และเปิดให้บริการสมาชิกและสมาชิกสมทบ
พ.ศ.2558 คณะกรรมการดำเนินการสอ.ครูแพร่ ชุดที่ 55 มีนายเชษฐา สยนานนท์ เป็นประธาน ได้จัดทำเรือนรับรอง และสร้างโรงรถ เพื่ออำนวยความสะดวกกับสมาชิก และได้พัฒนาสหกรณ์ให้มีความก้าวหน้าตามลำดับ